วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ที่มาของe-mail


อีเมล (อังกฤษ: e-mail, email) ย่อมาจาก จดหมายอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ไปรษณีย์อิเล็กทรอนิกส์ (อังกฤษ: electronic mail) คือวิธีการหนึ่งของการแลกเปลี่ยนข้อความแบบดิจิทัล ซึ่งออกแบบขึ้นเพื่อให้มนุษย์ใช้เป็นหลัก ข้อความนั้นจะต้องประกอบด้วยเนื้อหา ที่อยู่ของผู้ส่ง และที่อยู่ของผู้รับ (ซึ่งอาจมีมากกว่าหนึ่ง) เป็นอย่างน้อย บริการอีเมลบนอินเทอร์เน็ตในทุกวันนี้เริ่มมีการจัดตั้งมาจากอาร์พาเน็ต (ARPANET) และมีการดัดแปลงโค้ดจนนำไปสู่มาตรฐานของการเข้ารหัสข้อความ RFC 733 อีเมลที่ส่งกันในยุคคริสต์ทศวรรษ 1970 นั้นมีความคล้ายคลึงกับอีเมลในปัจจุบัน การเปลี่ยนแปลงจากอาร์พาเน็ตไปเป็นอินเทอร์เน็ตในคริสต์ทศวรรษ 1980 ทำให้เกิดรายละเอียดแบบสมัยใหม่ของการบริการ โดยส่งข้อมูลผ่านเกณฑ์วิธีถ่ายโอนไปรษณีย์อย่างง่าย (SMTP) ซึ่งได้เผยแพร่เป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต 10 (RFC 821) เมื่อ พ.ศ. 2525 (ค.ศ. 1982) และเปลี่ยน RFC 733 ไปเป็นมาตรฐานอินเทอร์เน็ต 11 (RFC 822) การแนบไฟล์มัลติมีเดียเริ่มมีการทำให้เป็นมาตรฐานใน พ.ศ. 2539 (ค.ศ. 1996) ด้วย RFC 2045 ไปจนถึง RFC 2049 และภายหลังก็เรียกกันว่าส่วนขยายสื่อประสมในระบบอินเทอร์เน็ตแบบอเนกประสงค์ (MIME)
ระบบอีเมลที่ดำเนินงานบนเครือข่าย มากกว่าที่จะจำกัดอยู่บนเครื่องที่ใช้ร่วมกันครื่องเดียว มีพื้นฐานอยู่บนแบบจำลองบันทึกและส่งต่อ (store-and-forward model) เครื่องให้บริการอีเมลนั้นจะตอบรับ ส่งต่อ หรือเก็บบันทึกข้อความขึ้นอยู่กับพฤติกรรมของผู้ใช้ โดยที่ผู้ใช้คนนั้นจำเป็นต้องเชื่อมต่อกับระบบอีเมลภายในด้วยคอมพิวเตอร์ส่วนบุคคลหรืออุปกรณ์สื่อสารอื่น ๆ บนเครือข่าย ในการรับส่งข้อความจากเซิร์ฟเวอร์ที่กำหนด ส่วนการส่งอีเมลโดยตรงจากอุปกรณ์สู่อุปกรณ์นั้นพบได้ยากกว่า
ประวัติ
26 มีนาคม 2542 – หนอนเมลิสซา โจมตีระบบอีเมล ทั่วโลก
อีเมลเริ่มใช้กันในปี พ.ศ. 2508 (ค.ศ. 1965) โดยใช้ในการส่งข้อมูลระหว่างผู้ใช้ภายในเครื่องคอมพิวเตอร์เมนเฟรม ปัจจุบันได้มีการเถียงกันระหว่างเครื่อง SDC's Q32 และ MIT's CTSS ว่าใครเป็นผู้ใช้ระบบอีเมลเป็นเครื่องแรก
ต่อมาพัฒนาให้สามารถส่งอีเมลข้ามระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์ได้ โดยระบบแรก ๆ ได้แก่ ระบบ AUTODIN ซึ่งเป็นระบบเชื่อมโยงข้อมูลของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (ปีพ.ศ. 2509) และ ระบบ SAGE ซึ่งใช้ตรวจจับเครื่องบินทิ้งระเบิด
ระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ อาร์พาเน็ต (ARPANET) มีส่วนเป็นอย่างมากในการพัฒนาอีเมล มีการทดลองส่งครั้งแรกในเครือข่ายเมื่อปีพ.ศ. 2512 ในปี พ.ศ. 2514 นายเรย์ ทอมลินสัน (Ray Tomlinson) เริ่มใช้เครื่องหมาย @ ในการคั่นระหว่างชื่อผู้ใช้กับชื่อเครื่อง เขายังเขียนโปรแกรมรับส่งอีเมลที่ชื่อ SNDMAIL และ READMAIL อาร์พาเน็ตทำให้อีเมลได้รับความนิยม และอีเมลก็ได้กลายเป็นงานหลักของอาร์พาเน็ต
เมื่อประโยชน์ของอีเมลเป็นที่รู้จักมากขึ้น ก็มีการคิดค้นระบบอีเมลที่ติดต่อโดยช่องทางอื่นสำหรับผู้ที่ไม่มีสิทธิ์ใช้เครือข่ายอาร์พาเน็ต เช่นผ่านเครือข่าย UUCP หรือ VNET ก่อนที่มีการพัฒนาอีเมลที่ค้นหาเส้นทางในการส่งโดยอัตโนมัติ (auto-routing) การส่งผ่านอีเมลข้ามจากระบบหนึ่งไปยังอีกระบบจำเป็นระบุเส้นทางการส่งโดยใช้เครื่องหมาย ! คั่นชื่อเครื่องระหว่างทาง วิธีนี้สามารถเชื่อมอีเมลจาก อาร์พาเน็ต BITNET NSFNET UUCP เข้าด้วยกัน
ในช่วงประมาณ พ.ศ. 2520 หน่วยงาน IETF ออกแบบและกำหนดโพรโทคอลในการส่งอีเมลที่มีชื่อว่า SMTP หรือ Simple Mail Transfer Protocol ปัจจุบันโพรโทคอลนี้ถือเป็นมาตรฐานในการรับส่งอีเมลบนอินเทอร์เน็ต
รูปแบบของอีเมล
รูปแบบของอินเทอร์เน็ตอีเมล จะใช้ในลักษณะของ RFC 2822 และรูปแบบของชุด RFCs (RFC 2045 ถึง RFC 2049) ซึ่งเรียกรวมว่า MIME อินเทอร์เน็ตอีเมล ประกอบไปด้วย 2 ส่วนหลักแยกจากกัน คือ
ส่วนหัว
Header E-mail ส่วนหัวของอีเมล กำหนดตามมาตรฐาน RFC 2822 โดยทั่วไปส่วนหัวประกอบด้วยข้อความและตามด้วยเครื่องหมาย ":" และตามด้วยข้อมูล ในแต่ละข้อมูลจะประกอบไปด้วยอย่างน้อย 4 หัวข้อ ได้แก่
จาก: ที่อยู่อีเมลผู้ส่ง และอาจจะประกอบด้วย ชื่อและนามสกุล
ถึง: ที่อยู่อีเมลผู้รับ และอาจจะประกอบด้วย ชื่อและนามสกุล สามารถมีได้มากกว่า 1 คน แยกกันด้วย เครื่องหมาย ","
หัวข้อเรื่อง: สรุปเนื้อความของข้อมูลเพื่อให้ผู้รับสามารถเข้าใจเนื้อหาของข้อความคร่าวๆ
วันที่: วันและเวลาจากเครื่องผู้ส่ง
หัวข้ออื่น ๆ ได้แก่
สำเนา: (Cc, Carbon copy) ใช้สำหรับในการส่งข้อความเดียวกันให้คนอื่น (ในสมัยที่ใช้เครื่องพิมพ์ดีด กระดาษคาร์บอน ใช้ซ้อนในการพิมพ์จดหมาย)
ส่วนเนื้อความ
ส่วนเนื้อความของอีเมลเป็นเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร ลายเซ็นอิเล็กทรอนิกส์ และอาจแนบไฟล์ไปกับเนื้อหาได้ด้วยการแบ่ง MIME แบบ multipart

ที่มาของyoutube


ยูทูบ ตามสำเนียงอเมริกัน หรือ ยูทิวบ์ ตามสำเนียงบริเตน (อังกฤษ: YouTube; เสียงอ่านภาษาอังกฤษ: /ˈjuːˌtjuːb (สำเนียงบริเตน), /-tuːb (สำเนียงอเมริกัน) เป็นเว็บไซต์ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถอัปโหลดและแลกเปลี่ยนคลิปวิดีโอผ่านทางเว็บไซต์ ก่อตั้งเมื่อ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2548โดย แชด เฮอร์ลีย์สตีฟ เชง และ ยาวีด คาริม อดีตพนักงานบริษัทเพย์พาล ในปัจจุบันยูทูบมีพนักงาน 67 คน[ต้องการอ้างอิงและมีสำนักงานอยู่ที่ซานบรูโนในรัฐแคลิฟอร์เนีย ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของกูเกิล

การทำงานของเว็บไซต์แสดงผลวิดีโอผ่านทางในลักษณะ อะโดบี แฟลช ซึ่งเนื้อหามีหลากหลายรวมถึง รายการโทรทัศน์มิวสิกวิดีโอ วิดีโอจากทางบ้าน งานโฆษณาทางโทรทัศน์ และบางส่วนจากภาพยนตร์ และผู้ใช้สามารถนำวิดีโอไปใส่ไว้ในบล็อกหรือเว็บไซต์ส่วนตัวได้ ผ่านทางคำสั่งที่กำหนดให้ของยูทูบ ยูทูบถือว่าเป็นหนึ่งในเว็บ 2.0 ชั้นนำของอันดับต้น ๆ ของโลก
ยูทูบมีนโนบายไม่ให้อัปโหลดคลิปที่มีภาพโป๊เปลือย และคลิปที่มีลิขสิทธิ์นอกเสียจากเจ้าของลิขสิทธิ์ได้อัปโหลดเอง โดยผู้ใช้สามารถทำการแจ้งลบได้
ในวันที่ 9 ตุลาคม 2549 กูเกิลได้ประกาศซื้อบริษัทยูทูบเป็นจำนวนเงินทั้งหมด 1.65 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 6 หมื่นล้านบาท ซึ่งได้เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 และในวันที่ 20 มิถุนายน 2550 ยูทูบ ได้เพิ่มโดเมนไปอีก 9 แห่ง สำหรับ 9 ประเทศ ได้แก่บราซิล ฝรั่งเศส อิตาลี ญี่ปุ่น ฮอลแลนด์ โปแลนด์ สเปน ไอร์แลนด์ และ สหราชอาณาจักร
ข้อมูลเชิงเทคนิค
รูปแบบวิดีโอ
ยูทูบใช้งานโดยแสดงผลภาพวิดีโอในลักษณะของ แมโครมีเดีย แฟลช 7 และใช้การถอดรหัสแบบ Sorenson Spark H.263 แฟลชเป็นโปรแกรมเสริมที่ต้องติดตั้งเพิ่มสำหรับเว็บเบราว์เซอร์ทั่วไป โดยแสดงผลที่ขนาดความกว้างและสูง 320 และ 240 พิกเซล ที่ 25 เฟรมต่อวินาที โดยมีการส่งข้อมูลสูงสุดที่ 300 กิโลบิตต่อวินาที ซึ่งการแสดงผลสามารถดูได้ที่ขนาดปกติ หรือขนาดที่แสดงผลเต็มจอ
ยูทูบแปลงไฟล์วิดีโอเป็นไฟล์ในลักษณะ แฟลชวิดีโอ ในนามสกุล .FLV ภายหลังจากผู้ใช้ได้อัปโหลดเข้าไป ไม่ว่าผู้อัปโหลดจะโหลดในลักษณะ .WMV .AVI.MOV .3GP MPEG หรือ .MP4 
รูปแบบเสียง
ไฟล์ในยูทูบเก็บในลักษณะสตรีมไฟล์MP3 โดยมีการเข้ารหัสแบบโมโนที่ 65 กิโลบิต/วินาที ที่ 22050 เฮิรตซ์ อย่างไรก็ตามยูทูบสามารถเก็บไฟล์เสียงในลักษณะสเตอริโอได้หากมีการแปลงเป็นไฟล์ FLV ก่อนที่ทำการอัปโหลด
การแสดงผล
วิดีโอในยูทูบสามารถดูได้ผ่านเว็บไซต์ยูทูบโดยตรงผ่านซอฟต์แวร์แฟลชที่กล่าวมา ดูได้ผ่านแอปเปิลทีวี ไอโฟน ที่มีการเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ ซึ่งนอกจากนี้ยูทูบสามารถดูได้จากเว็บไซต์ทั่วไปที่มีการนำรหัสไปใส่เชื่อมโยงกลับมาที่เว็บยูทูบเอง เห็นได้ตามเว็บบอร์ด และบล็อก หรือเว็บไซค์ต่างๆ
นอกจากนี้สามารถเซฟไฟล์ยูทูบเก็บไว้ในเครื่องของตนเองได้โดยใช้งานซอฟต์แวร์ของบริษัทอื่น เช่น Keepvid หรือผ่านสคริปต์จาก Greasemonkey โดยจะมีไฟล์เป็นนามสกุล .flv
การปิดกั้นข่าวสารในประเทศไทย
ผู้ใช้ในประเทศไทยได้ถูกปิดกั้นการเข้าถึงเว็บไซต์ยูทูบ ตั้งแต่คืนวันที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2550 หลังจากนายสิทธิชัย โภไคยอุดม รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสารในขณะนั้น พยายามขอความร่วมมือหลายครั้ง ให้กูเกิลนำคลิปวิดีโอตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์ที่หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ออก แต่ถูกปฏิเสธโดยได้ให้เหตุผลว่าคลิปวิดีโออื่นที่โจมตีประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู. บุช รุนแรงมากกว่านี้ ยังให้อยู่ได้ ซึ่งคลิปวิดีโอดังกล่าว[โปรดขยายความอัปโหลดโดยผู้ใช้ชื่อ paddidda เมื่อวันที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2550 มีผู้ชมไปแล้ว มากกว่า 16,000 ครั้ง และมีมากกว่า 500 ความคิดเห็นด้วยกัน หลังจากที่ได้มีการออกข่าว จำนวนผู้ชมไปขึ้นไปถึงกว่า 66,553 ครั้งก่อนที่คลิปวิดีโอดังกล่าวจะถูกย้ายออกจากระบบ แม้ว่าคลิปวิดีโอได้ถูกเอาออกไปแล้ว แต่เว็บไซต์ยังคงถูกบล็อกต่อไป โดยนายสิทธิชัย โภไคยอุดมได้ให้เหตุผลว่ายังมีภาพตัดต่อพระบรมฉายาลักษณ์คงเหลืออยู่ และต้องการให้เอาออกทั้งหมด
ในวันที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2550 ได้มีการยกเลิกการบล็อกเว็บไซต์ยูทูบ จนสามารถใช้งานได้ตามปกติแล้ว หลังจากที่ยูทูบตกลงที่จะบล็อกวิดีโอที่มีการหมิ่นประมาทในไทยต่าง ๆ

ดอกไม้ประจําชาติอาเซียน 10 ประเทศ


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก treknature.com , angkorandpeople.com , philamfood.com ,myanmars.net  

          เหลือเวลาอีกเพียงแค่ 3 ปีเท่านั้น การรวมตัวกันของประชาคมอาเซียน 10 ประเทศ ก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว (พ.ศ.2558) เพื่อผนึกกำลังในการพัฒนาแต่ละประเทศให้เจริญก้าวหน้าไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มีประเทศไทยกับเขาด้วย วันนี้ กระปุกดอทคอม จึงมีข้อมูลเบา ๆ เกี่ยวกับดอกไม้ที่เป็นสัญลักษณ์ของชาติอาเซียนในแต่ละประเทศมาฝากกันเพื่อเพิ่มเติมความรู้ ว่าแต่จะมีดอกไม้อะไรบ้าง อย่ารอช้ารีบไปดูกันเลย..

10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 1. บรูไนดารุสซาลาม (Brunei Darussalam) : ดอกซิมปอร์

          ดอกไม้ประจำชาติบรูไน ก็คือ ดอกซิมปอร์ (Simpor) หรือที่รู้จักกันในชื่อ ดอกส้านชะวา (Dillenia) ดอกไม้ประจำท้องถิ่นบรูไน ที่มีกลีบขนาดใหญ่สีเหลือง หากบานเต็มที่แล้วกลีบดอกจะมีลักษณะคล้ายร่ม พบเห็นได้ตามแม่น้ำทั่วไปของบรูไน มีสรรพคุณช่วยรักษาบาดแผล หากใครแวะไปเยือนบรูไน จะพบเห็นได้จากธนบัตรใบละ 1 ดอลลาร์ ของประเทศบรูไน และในงานศิลปะพื้นเมืองอีกด้วย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน


          กัมพูชามีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกลำดวน (Rumdul) ดอกไม้สีขาวปนเหลืองนวล กลีบดอกหนาทึบและแข็งเล็กน้อย มีกลิ่นหอมเย็นแบบกรุ่น ๆ ถูกจัดเป็นไม้มงคลชนิดหนึ่งเพราะมีความหมายถึงความสดชื่นหอมกรุ่น และเป็นดอกไม้สำหรับสุภาพสตรี วิธีปลูกที่ถูกต้อง ต้องปลูกไว้ในทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวบ้าน ที่สำคัญต้องปลูกในวันพุธ ด้วยนะ


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

3. สาธารณรัฐอินโดนีเซีย (Republic of Indonesia) : ดอกกล้วยไม้ราตรี

          ดอกไม้ประจำชาติอินโดนีเซีย คือ ดอกกล้วยไม้ราตรี (Moon Orchid) ซึ่งเป็นหนึ่งในดอกกล้วยไม้ที่บานอยู่ได้นานที่สุด โดยช่อดอกนั้นสามารถแตกกิ่งและอยู่ได้นาน 2-6 เดือน โดยดอกจะบานแค่ปีละ 2-3 ครั้งเท่านั้น ทั้งนี้ดอกกล้วยไม้ราตรีสามารถเจริญเติบโตได้ดีในอากาศชื้น จึงพบเห็นได้ง่ายในพื้นที่ราบต่ำของประเทศอินโดนีเซีย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

4. สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว (The Lao People's Democratic Republic of Lao PDR) : ดอกจำปาลาว

          ดอกไม้ประจำชาติประเทศเพื่อนบ้านของไทยอย่างประเทศลาว คือ ดอกจำปาลาว (Dok Champa) คนไทยรู้จักกันดีในชื่อ ดอกลีลาวดี หรือ ดอกลั่นทม โดยดอกจำปาลาวมักมีสีสันหลากหลาย ไม่เฉพาะเจาะจงว่าต้องเป็นเพียงสีขาวเท่านั้น เช่น สีชมพู สีเหลือง สีแดง หรือสีโทนอ่อนต่าง ๆ โดยดอกจำปาลาวนั้นเป็นตัวแทนของความสุขและความจริงใจ จึงนิยมใช้กันอย่างแพร่หลายเพื่อประดับประดาในงานพิธีต่าง ๆ รวมทั้งใช้เป็นพวงมาลัยเพื่อรับแขกอีกด้วย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 5. ประเทศมาเลเซีย (Malaysia) : ดอกพู่ระหง

          สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น มีดอกไม้ประจำชาติเป็น ดอกพู่ระหง (Bunga Raya) ในภาษาท้องถิ่นเรียกกันว่า บุหงารายอ หรือที่รู้จักกันทั่วไปในชื่อ ดอกชบาสีแดง ลักษณะกลีบดอกเป็นสีแดง มีเกสรยื่นยาวออกมาเหนือดอก ซึ่งถูกจัดให้เป็นสัญลักษณ์ของประเทศมาเลเซีย เพื่อเสริมสร้างความเป็นปึกแผ่นและความอดทนในชาติ โดยเชื่อว่าจะช่วยส่งเสริมให้สูงส่งและสง่างาม รวมทั้งยังสามารถนำไปใช้ในทางการแพทย์และความงามได้อีกด้วย


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 6. สาธารณรัฐฟิลิปปินส์ (Republic of the Philippines) : ดอกพุดแก้ว

          ดอกไม้ประจำชาติฟิลิปปินส์ คือ ดอกพุดแก้ว (Sampaguita Jasmine) ดอกมีสีขาวกลีบดอกเป็นรูปดาว มีกลิ่นหอม บานส่งกลิ่นในตอนกลางคืน ถือเป็นสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน รวมถึงความเข้มแข็งอีกด้วย เคยถูกนำมาใช้เฉลิมฉลองในตำนานเรื่องเล่ารวมทั้งบทเพลงของฟิลิปปินส์ด้วยเช่นกัน


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 7. สาธารณรัฐสิงคโปร์ (The Republic of Singapore) : ดอกกล้วยไม้แวนด้า

          ประเทศสิงคโปร์ มี ดอกกล้วยไม้แวนด้า (Vanda Miss Joaquim) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกกล้วยไม้แวนด้าตั้งชื่อตามผู้ผสมพันธุ์ คือ Miss Agnes Joaquim จัดเป็นดอกกล้วยไม้ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประเทศสิงคโปร์ มีสีม่วงสดสวยงามและเบ่งบานอยู่ตลอดทั้งปี โดยถูกจัดให้เป็นดอกไม้ประจำชาติสิงคโปร์ตั้งแต่ปี ค.ศ.1981 (พ.ศ.2524)


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 8. ราชอาณาจักรไทย (Kingdom of Thailand) : ดอกราชพฤกษ์

          ดอกไม้ประจำชาติไทยของเรา ก็คือ ดอกราชพฤกษ์ (Ratchaphruek) ที่มีสีเหลืองสวยสง่างาม เมื่อเบ่งบานแล้วให้ความรู้สึกอบอุ่น ถือเป็นสัญลักษณ์ของความมีเกียรติยศศักดิ์ศรี ซึ่งชาวไทยหลายคนรู้จักกันดีในนามของ ดอกคูน โดยมีความเชื่อว่าสีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์คือสีแห่งพระพุทธศาสนาและความรุ่งโรจน์ รวมทั้งยังเป็นสัญลักษณ์แห่งความสามัคคีปรองดองของคนในชาติอีกด้วย โดยดอกราชพฤกษ์จะเบ่งบานในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ พฤษภาคม มีจุดเด่นเวลาเบ่งบานคือการผลัดใบออกจนหมดต้น เหลือไว้เพียงแค่สีเหลืองอร่ามของดอกราชพฤกษ์เท่านั้น


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

 9. สาธารณรัฐสังคมนิยมเวียดนาม (The Socialist Republic of Vietnam) : ดอกบัว

          ประเทศเวียดนาม มีดอกไม้ที่คนไทยคุ้นเคยอย่าง ดอกบัว (Lotus) เป็นดอกไม้ประจำชาติ โดยดอกบัวเป็นที่รู้จักกันในนาม ดอกไม้แห่งรุ่งอรุณเป็ญสัญลักษณ์ของความบริสุทธิ์ ความผูกพัน และการมองโลกในแง่ดี ดอกบัวจึงมักถูกกล่าวถึงในบทกลอนและเพลงพื้นเมืองของชาวเวียดนามอยู่บ่อยครั้ง


10 ดอกไม้ประจำชาติอาเซียน มีอะไรบ้าง...มาดูกัน

10. สหภาพพม่า (Union of Myanmar) : ดอกประดู่

          ดอกไม้ประจำชาติของประเทศพม่า คือ ดอกประดู่ (Paduak) เป็นดอกไม้ที่พบมากในประเทศพม่า มีสีเหลืองทอง ผลิดอกและส่งกลิ่นหอมในฤดูฝนแรก ช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ประเทศพม่ามีการเฉลิมฉลองปีใหม่ขึ้น ชาวพม่าเชื่อว่าดอกประดู่คือสัญลักษณ์ของความแข็งแรง ความทนทาน และเป็นดอกไม้ที่ขาดไม่ได้ในพิธีทางศาสนาของชาวพม่าเลยล่ะ

รู้จัก “เฟอร์บี้” สัตว์เลี้ยงไฮเทค


เริ่มต้นสัปดาห์ ด้วยเรื่องราวความฮอตฮิตของเจ้าตุ๊กตาเฟอร์บี้ ด้วยความที่มันเป็นที่นิยมมากๆ ในตอนนี้ เตือนคุณผู้ชมที่สั่งซื้อออนไลน์ให้ระวังเจอแก๊งต้มตุ๋น อย่างที่เป็นข่าวไปแล้ว
ซึ่งคนที่รู้จัก เฟอร์บี้คงจะไม่แปลกใจว่าทำไมถึงมีคนเสาะหา อยากได้มันมาเป็นเจ้าของนัก ขณะเดียวกันเชื่อว่ามีหลายๆ คนที่ยังสงสัย ว่าเจ้า เฟอร์บี้มันคืออะไร วันนี้เราจะไปทำความรู้จักกับเจ้าเฟอร์บี้ให้มากขึ้น
“"เฟอร์บี้" ตุ๊กตานกฮูกพูดได้
ตุ๊กตา "เฟอร์บี้" ถือกำเนิดขึ้นเมื่อประมาณ 10 กว่าปีก่อน เป็นของเล่นประเภทสัตว์เลี้ยง มีลักษณะเหมือนนกฮูก ผลิตจากบริษัท Hasbro ในปี 2000 ช่วงนั้นได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก ทำยอดขายทั่วโลกไปกว่า 40 ล้านตัว นับเป็นเวอร์ชั่นแรกที่เรียกกระแสได้พอสมควรก่อนจะซาลงไป อันเนื่องมาจากเฟอร์บี้พูดคุยด้วยภาษาเฟอร์บิช ที่เป็นอุปสรรคสำคัญของการสื่อสารระหว่างเจ้าของและเฟอร์บี้
หลังจากนั้น เฟอร์บี้กลับมาอีกครั้ง ด้วยเทคโนโลยี Emoto-Tronics ช่วยให้เฟอร์บี้สนองตอบการกระทำ มีลูกเล่น การโต้ตอบกับเสียงของมนุษย์ที่มากขึ้น  มีการแสดงอารมณ์บนใบหน้าที่ดูสมจริงขึ้น มีระบบเซนเซอร์ 3 จุดที่ช่วยให้อวัยวะอย่างตา, หู, ริมฝีปากสามารถขยับช่วยแสดงอาการเศร้า, ยิ้ม, หัวเราะ, ง่วงนอน อารมณ์เบื่อหรือหวาดกลัวได้ 
ซึ่งความฮิตของเฟอร์บี้นี้ บางครั้งก็นำมาซึ่งคำถามว่าทำไมตุ๊กตานกฮูกดูธรรมดาแบบนี้ ถึงฮิตได้ขนาดนี้ ทั้งที่ยังมีสัตว์เลี้ยงที่เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ ที่น่ารักกว่าอีก หรือเพราะคนสมัยนี้ "เหงา" มากขึ้น จะให้เลี้ยงสุนัขและแมวก็รู้สึกว่าเป็นภาระเกินไป จึงหันมาเลี้ยง "สัตว์เลี้ยง ไฮเทค" อย่างเฟอร์บี้แทน เรื่องนี้คุณหมอกรมสุขภาพจิต ได้ออกมาวิเคราะห์ถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือพิมพ์มติชน
เฟอร์บี้ ช่วยให้ผู้ใหญ่กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
พญ.อัมพร เบญจพลพิทักษ์ ผู้อำนวยการสำนักพัฒนาสุขภาพจิต บอกว่า การเล่นเฟอร์บี้ทางการแพทย์ระบุว่าเป็นภาวะ "regression" หรือ ภาวะถดถอยทางอารมณ์ที่ย้อนกลับไปเป็นเด็กคิกขุอาโนเนะอีกครั้ง ภาวะนี้เป็นภาวะที่ถดถอยกลับไปเติมความชื่นบานในจิตใจ กลับไปเล่นตุ๊กตา ซึ่งการถดถอยกลับไปเป็นเด็กชั่วขณะจะช่วยทำให้ผ่อนคลายและสดชื่นขึ้น
คุณหมอยังบอกด้วยว่า ความเหงาอาจเป็นแรงผลักดันในบางคนเท่านั้น แต่ไม่ใช่ทั้งหมดที่มีเฟอร์บี้เพราะเหงา ส่วนใหญ่เกิดเพราะกระแสชี้นำทางสังคมมากกว่า ทั้งคุณหมอยังแนะด้วยว่าการตามกระแสไม่ใช่สิ่งผิด แต่ต้องรู้เท่าทันตัวเอง
ต้องดูเงินในกระเป๋าด้วย ทั้งนี้ไม่ได้หมายถึงเฉพาะเฟอร์บี้ อาจหมายถึงของเล่นอื่นๆ ที่น้องๆ หนูบางคนอยากมีเหมือนเพื่อน แต่ฐานะทางบ้านไม่เอื้อหรือพ่อแม่ไม่เห็นด้วย เรื่องนี้ ผู้ปกครองก็ต้องมีวิธีแนะนำสิ่งที่ถูกต้องให้กับลูกๆ
ผลจากการเลี้ยงลูกด้วยเทคโนโลยี
เพราะหากที่ผ่านมา คุณเคยเลี้ยงลูกด้วยการให้พวกเขาเข้าถึงเทคโนโลยี ด้วยการปล่อยให้ลูกเข้าถึงสื่อออนไลน์ตามลำพัง พาไปซื้อของตามห้างสรรพสินค้า สุดท้ายพ่อแม่ก็หนีไม่พ้น ต้องพ่ายแพ้ต่อเสียงเรียกร้องขอของเล่น หรือ แม้แต่เจ้าเฟอร์บี้จากเด็กๆ ตามที่พวกเขาเคยได้ยินได้เห็นจากสื่อต่างๆ ในชีวิตประจำวัน ซึ่งทำให้โลกของเด็กๆ มีความคุ้นเคยกับสิ่งที่เรียกว่า "บริโภคนิยม"
ซึ่งในหลายๆ ครอบครัวที่รายรับไม่พอต่อรายจ่าย การไม่สอนลูกๆ ให้เข้าใจในเรื่องของวัตถุนิยมเป็นสิ่งอันตรายสำหรับครอบครัว ในบทความ ประหยัดเงินให้ครอบครัวได้ ถ้าลูกห่างไกล "วัตถุนิยม"จึงมีคำแนะนำแก่พ่อแม่ในการช่วยปรับพฤติกรรมของลูกๆ ให้รอดพ้นจากการตกเป็นเหยื่อของลัทธิทุนนิยมเอาไว้แบบนี้
เริ่มจากการจำกัดช่วงเวลารับสื่อของเด็กๆ ด้วยการลดเวลาการรับชมทีวี ลดการเล่นอินเทอร์เน็ต และดูทีวีพร้อมกับลูก แม้จะเป็นรายการสำหรับเด็กๆ ก็ตาม เพราะในบางกรณีรายการทีวีอาจไม่มีพิษภัย แต่โฆษณาที่มากับรายการดังกล่าวอาจส่งผลโดยตรงต่อจิตใจเด็กๆ ได้ การที่พ่อแม่นั่งดูอยู่กับลูก จึงเป็นการช่วยกลั่นกรองสิ่งต่างๆ และให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับวัยของลูกนั่นเอง อีกทั้งยังช่วยให้พ่อแม่เข้าใจถึงการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของลูกได้ดียิ่งขึ้น
ฝึกลูกให้คุ้นเคยกับการปฏิเสธ เพราะไม่จำเป็นที่เด็กจะต้องได้ "สิ่งของ" ที่พวกเขาต้องการในทันทีที่เรียกร้อง แต่เขาจะได้มันก็ต่อเมื่อถึงโอกาสที่เหมาะสมเท่านั้น ให้รางวัลเด็กด้วย "เวลาและความสนใจ" ไม่ใช่สิ่งของ เมื่อเด็กๆ ทำความดี การกอด หอมแก้ม หรือการให้เวลาทำกิจกรรมร่วมกันกับลูกๆ เป็นรางวัลที่ดีสำหรับเด็ก และสามารถสร้างเสริมพัฒนาการที่ดีให้เด็กได้ด้วย ซึ่งในจุดนี้ยังเป็นการลดความสำคัญของ "สิ่งของ" ในเด็กได้เป็นอย่างดี
สุดท้าย จะ เฟอร์บี้หรือของเล่นชนิดไหน มีไว้เพื่อตอบโจทย์ความต้องการมีความรัก ความเอาใจใส่ ความผูกพันได้ก็จริง แต่มันไม่มีชีวิต ความสุขที่แท้จริงอยู่ที่ครอบครัว สามีภรรยา ลูก พ่อแม่ ซึ่งของจริงไม่ฉาบฉวยและยั่งยืนกว่า

ประเพณีรดนํ้าดําหัวผู้ใหญ่




เป็นประเพณีของไทยอันสืบเนื่องมาจากประเพณีวันสงกรานต์ หรือวันขึ้นปีใหม่ของไทยที่แสดงถึงความเคารพนบนอบต่อผู้ใหญ่หรือผู้ที่เคารพนับถือและผู้มีพระคุณ เพื่อแสดงความกตัญญูพร้อมกับการขอขมาและขอรับพรเพื่อเป็นสิริมงคลแก่ตัวเองเนื่องในวันสําคัญ เช่น วันขึ้นปีใหม่หรือวันสงกรานต์ของไทยในเดือนเมษายน "การดําหัว" ก็คือการรดนํ้านั่นเองแต่เป็นคําเมืองทางเหนือการดําหัวเรียกกันเฉพาะการรดนํ้าผู้ใหญ่ที่เคารพนับถือ ผู้สูงอายุ หรือผู้ที่มีตําแหน่งหน้าที่การงานสูง เช่น พ่อเมือง เป็นต้น เป็นการขอขมาในสิ่งที่ได้ล่วงเกินไป หรือขอพรปีใหม่จากผู้ใหญ่ สิ่งที่ต้องนําไปในการรดนํ้าดําหัวก็คือ นํ้าใส่ขันเงินใบใหญ่ ในนํ้าใส่ฝักส้มป่อยโปรยเกสรดอกไม้และเจือนํ้าหอม นํ้าปรุงเล็กน้อยพร้อมด้วยพานข้าวตอกดอกไม้เป็นเครื่องสักการะอีกพานหนึ่ง
การรดนํ้าดําหัวมักจะไปกันเป็นหมู่ โดยจะถือเครื่องที่จะดําหัวไปด้วย เมื่อขบวนรดนํ้าดําหัวไปถึงบ้าน ท่านเจ้าของบ้านก็จะเชื้อเชิญให้เข้าไปในบ้าน พอถึงเวลารดนํ้าท่านผู้ใหญ่ก็จะสรรหาคําพูดที่ดีที่เป็นมงคลและอวยพรให้กับผู้ที่มารดนํ้าดําหัว ปัจจุบันนี้พิธีรดนํ้าดําหัวในจังหวัดต่างๆ ทางเหนือมักจะจัดเป็นพิธีใหญ่ ในบางแห่งมีขบวนแห่งและมีการฟ้อนรําประกอบ เช่น พิธีรดนํ้าดําหัวใน จังหวัดเชียงใหม่ และเชียงราย เป็นต้น
 ประเพณี ปี๋ใหม่ ล้านนา
" วันปากปี '' ตรงกับวันที่ 16 เมษายนของทุกปีเพราะเป็นวันเริ่มต้นของปีใหม่ สองฉบับก่อนได้เล่าถึงประเพณีสงกรานต์ของล้านนาไทยตั้งแต่วันที่ 13 เมษายน ถึงวันที่ 15 เมษายน ว่าเขาทำอะไรบ้างก่อนจะกล่าวถึงเรื่องดำหัวอย่างละเอียด จะขอเล่าถึงวันที่ 16 เมษายน ว่าเขาทำอะไรบ้าง
วันนี้คนล้านนาไทยเรียกว่า " วันปากปี '' คล้ายกับ " ปากประตู '' คือช่องเป็นที่เริ่มเข้าสู่ในบ้านเรือน ในวันนี้ตอนเช้าประชาชนจะพากันไปบูชาข้าวของลดเคราะห์ที่วัด โดยนำเสื้อของสมาชิกในครอบครัวไปด้วยเพื่อเอารองไว้ใต้ "สะตวง" อันเป็นภาชนะสำหรับใส่เครื่องบูชา ทางวัดมีคำกล่าวบูชาโดยเฉพาะ โดยนำเอาวิธีของพราหมณ์มาแก้ไขให้เป็นวิธีพุทธ ถือว่าถ้าได้กระทำเช่นนี้จะอยู่ดีมีสุขตลอดปี บางบ้านก็นิมนต์พระมาเทศน์คัมภีร์ที่เป็นมงคล หรือทำพิธีสืบชาตาที่บ้าน
วันนี้ถ้าหากว่าการดำหัว เมื่อวานนี้ยังไม่เสร็จเรียบร้อย ก็จะใช้วันนี้เป็นวันดำหัวอีกวันหนึ่ง การรดน้ำกันยังคงมีประปรายเฉพาะพวกที่ไปดำหัวด้วยกัน หรือเมื่อเจอกับคณะอื่น ก็จะสาดน้ำรดน้ำกันอย่างมีความสุข
การรดน้ำ กันตามประเพณีนั้นน่าจะพูดไว้เสียที่นี้ เพื่อให้คนรุ่นหลังรู้และเข้าใจว่าความจริงการรดน้ำกันนั้น คนโบราณเขาทำกันอย่างสุภาพมีวัฒนธรรมโดยให้ศีลให้พรกันไปในตัวทีเดียว เช่นชายหนึ่งรดน้ำหญิงสาวขณะที่หลั่งน้ำลงรดที่ไหล่หรือที่หลังก็ตามปากมัก จะพร่ำพูดให้พรต่าง ๆนานา เช่น "พลันได้พลันมี สารภีซ้อนกาบ พลันได้หาบได้คอน พลันได้นอนหมอนคู่ พลันได้อยู่ทวยกัน พลันได้เอาสวรรค์เป็นบ้าน เถิดหนอ"
ผู้หญิงจะรดน้ำตอบบ้าง ก็จะอวยพรให้เช่นกันเป็นต้นว่า "น้ำใสใจจริง ไหลลงสู่เนื้อเปียะเปียกเสื้อ เพราะหลั่งจากใจน้ำหยดนี้ บ่แห้งเหยไหน ขอฝากติดไปรอดเติงเถิงบ้าน" เป็นต้น หรือแล้วแต่โวหารที่จะพูดออกมา ส่วนมากเป็นคำดีมีความหมายหาได้เหมือนปัจจุบันนี้ไม่ เพราะเท่าที่เห็นเป็นการทารุณต่อผู้ที่ได้รับรดน้ำเหลือเกิน ไม่เป็นสิ่งเชิดชูใจแต่ประการใด ถ้าคนโบราณทำเช่นนี้ ประพณีสงกรานต์คงไม่มีสังคมยอมรับและเหลือมาถึงเราเป็นแน่ขอฝากไว้ช่วยชี้ แจงแก่คนปัจจุบันและชาวต่างถิ่นด้วย
กลับมาถึงขั้นตอนของการ ดำหัวในแบบฉบับของล้านนาโบราณ คำว่า "ดำหัว" ในภาษาล้านนามีความหมายว่า "สระผม '' พจนานุกรมล้านนาไทยฉบับแม่ฟ้าหลวงหน้าที่ 444 ให้ความหมายว่าสระผมหรือพิธีแสดงความเคารพผู้มีอาวุโสหรือผู้มีบุณคุณ ในประเพณีสงกรานต์ ในพจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตสถาน พ . ศ . 2542 หน้าที่ 405 ให้ความหมายว่า เป็นประเพณีทางภาคเหนือซึ่งกระทำในวันปีใหม่ เพื่อเป็นการแสดงความเคารพนับถือและรักใคร่ และยังอธิบายต่ออีกว่า วิธีดำหัวคือเอาสิ่งของและน้ำที่ใส่เครื่องหอมเช่นน้ำอบไทยไปให้แก่ผู้ที่ เคารพและขอให้ท่านรดน้ำใส่หัวของตนให้อยู่เย็นเป็นสุข
จากพจนานุกรมทั้งสองฉบับ จะเห็นได้ว่าประเพณีดำหัวเป็นประเพณีของทางล้านนาไทยอย่างชัดเจน ความเชื่อของของทางล้านนาคือผู้ที่เราเคารพผู้อาวุโสผู้มีบุญคุณแก่เราทาง เหนือล้านนานิยมใช้น้ำที่ใส่ขมิ้นส้มป่อยมีสีเหลืองมีกลิ่นหอมน่าขลัง ศักดิ์สิทธิ์เหมือนกับน้ำที่สรงน้ำพระ หรือองค์พระธาตุ เป็นน้ำที่ใช้ดำหัว สำหรับน้ำอบน้ำหอมนั้นมาทีหลังซึ่งเป็นของทางภาคกลาง
ส่วนวิธีการของทางล้านนา จริง ๆ หลังจากให้พรเสร็จแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะใช้มือของตนเองจุ่มลงไปในน้ำแล้วลูบหัวตนเอง ซึ่งมีความเชื่อเหมือนกับการรับสูมาคาราวะที่ผู้คนที่มาดำหัวได้ทำอะไรที่ ไม่เป็นมงคล ด้วย กาย วาจา ใจ ไม่ได้ขอให้นำน้ำขมิ้นส้มป่อยมาใส่หัวของตนเอง นอกจากท่านจะกรุณา สะบัดนิ้วมือที่มีน้ำติดอยู่ใส่หัวของผู้ที่ไปดำหัวซึ่งสุดแล้วแต่ท่าน ไม่ได้เจาะจงดั่งเช่นที่พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานกล่าวไว้
อีกประการหนึ่งที่ พจนานุกรมทั้งสองฉบับไม่กล่าวถึงคือสิ่งที่ผู้ใหญ่ทั้งในภาคกลางและภาคเหนือ ที่เป็นข้าราชการทำก็คือ การรดน้ำใส่มือของผู้ที่เรามาดำหัว ในความเป็นจริงแล้วเราจะเห็นบ่อยมากส่วนมากท่านเหล่านั้นเป็นระดับสูง ๆ ทั้งนั้น ตั้งแต่นายกรัฐมนตรีผู้ว่าราชการจังหวัดลงมาจนถึงระดับผู้นำท้องถิ่น ซึ่งบางคนผู้นำเหล่านั้นก็เป็นคนล้านนาแต่ก็ยังยอมให้ผู้ที่อยู่ใต้บังคับ บัญชาที่ไม่รู้เรื่องประเพณีล้านนาทำอย่างไม่ถูกต้อง ไม่เชื่อก็คอยดูในทางโทรทัศน์ในปีนี้รับรองได้เห็นแน่นอน ไม่มีเอกสารฉบับไหนของล้านนากล่าวถึงประเพณีรดน้ำดำหัวว่าผู้ที่มาดำหัวต้อง รดที่มือ นอกจากประเพณีของทางภาคกลางที่รดน้ำมือคือประเพณีแต่งงานเพื่ออวยพรคู่บ่าว สาวและรดน้ำที่มือศพ ซึ่งถือว่ารดน้ำศพ
ส่วนทางของล้าน นาไม่นิยมในการที่จะรดน้ำที่มือในการอวยพรใด ๆ ทั้งสิ้น ( เพราะมีความรู้สึกเหมือนรดน้ำศพของทางภาคกลาง ยิ่งเมื่อมือโดนน้ำรดมาก ๆ แล้วลักษณะของมือก็จะซีดเหมือนมือของคนที่ตายแล้วจึงไม่ นิยมทำกัน ) หลังจากที่ให้พรเรียบร้อยแล้ว ผู้ที่ถูกดำหัวก็จะออกมายืนอยู่ที่ตรงชายบ้าน ซึ่งบ้านทางล้านนาโบราณจะต้องมีชานบ้านทุกหลังคาเรือน เพื่อไว้ทำประโยชน์หลายอย่าง เช่นเป็นที่อาบน้ำ ตากเสื้อผ้า และก็เพื่อใช้ในประเพณีดำหัว แล้วท่านที่มาดำหัวก็จะออกมารดน้ำที่ไหล่ท่านพร้อมกับอวยพรให้ท่านอยู่เย็น เป็นสุขมีอายุยืนยาว
อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะ กล่าวถึงก็คือความเชื่อของการรดน้ำดำหัว ในทางล้านนาก็คือผู้ที่อาวุโส เคารพนับถือเท่านั้นที่เราจะรดน้ำดำหัว ที่นิยมก็คือ บิดามารดา พระสงฆ์ ผู้อาวุโสที่มีคุณงามความดี อยู่ในศีลสัตย์ ผู้นำที่เสียสละมีบุญคุณต่อแผ่นดินครูอาจราย์ที่ให้วิชาความรู้แก่เรา ไม่จำกัดว่าผู้คนเหล่านั้นจะมีตำแหน่งหน้าที่อะไร การดำหัวของล้านนาจึงเหมือนกับบอกคุณค่าของคน เป็นตัวชี้วัดคุณภาพของผู้ใหญ่ในสมัยนั้นเป็นอย่างดี
ดังนั้นการกระทำในการดำ หัวจะไม่มีการกระเกณฑ์คนโดยแบบบังคับให้มาเหมือนปัจจุบัน ซึ่งผู้ที่ไปดำหัวจะต้องมีความเกี่ยวพันกับผู้ที่เราไปดำหัวในด้านใดด้าน หนึ่งและเปี่ยมล้นไปด้วยความรักนับถือและศรัทธาไม่ใช่ไปเพื่อสร้างภาพแสดง พลังให้ยิ่งใหญ่ของบุคคลนั้น โดยกระบวนการที่ลิ่วล้อของท่านเหล่านั้นจะเป็นผู้จัดการระดมเกณฑ์คน โดยที่ท่านเหล่านั้นแทบจะไม่รู้ว่าความจริงเป็นอย่างไร บางทีพอเห็นภาพผู้คนมากมายก็ทำให้ท่านทั้งหลายหลงลืมตนเองคิดว่าตน้องเป็น ผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งบางท่านกว่าจะสรุปบทเรียนได้ก็ต่อเมื่อตนเองหมดตำแหน่งหน้าที่ในยศถา บรรดาศักดิ์ หมดอำนาจวาสนาที่ไม่เคยจีรังและยั่งยืน ประเพณีดำหัวจึงจะบอกท่านเหล่านั้นให้รู้ว่าตนเองมีคุณค่าแค่ไหน
ดังนั้นเราจะเห็นภาพที่ เห็นอยู่เป็นประจำไม่ว่าทางโทรทัศน์ ทางหน้าหนังสือพิมพ์ทั่วไป คือคนเฒ่าคนแก่ที่ที่ถูกผู้นำระดับล่างกะเกณฑ์มานั่งยอง ๆ ยกมือไหว้ใครก็ไม่รู้ที่ตนเองก็ไม่รู้จัก และที่สำคัญที่สุดคนที่ยกมือไหว้นั้นยังอายุหนุ่มกว่าน้อยกว่า บางคนก็เป็นรุ่นลูก รุ่นหลาน ซึ่งเป็นภาพที่เห็นแล้วน่าสมเพชเวทนาเป็นอย่างยิ่ง
จากที่เล่ามาทั้งหมดผู้ เขียนมีเจตนายากจะให้คนรุ่นใหม่ ได้รู้ถึงกระบวนการขั้นตอนความเชื่อของประเพณีรดน้ำดำหัวของทางล้านนาจริง ๆ เขาทำอย่างไร เชื่ออย่างไรและอีกอย่างหนึ่งที่จะฝากไว้สำหรับผู้ที่มีโอกาสได้ยิ่งใหญ่มี ตำแหน่ง สูง ๆไม่ว่าระดับไหนก็ตามถ้าเป็นคนล้านนาแล้ว ควรจะปฏิบัติให้เป็นตัวอย่างตามแบบของความเชื่อในประเพณีโบราณของล้านนา อย่างน้อยก็เป็นตัวอย่างต้นแบบเพื่อให้ลูกหลานล้านนาได้เห็นและจะได้ปฏิบัติ สืบต่อไป
เป็นอย่างไรครับประเพณี ปีใหม่เมืองอันยิ่งใหญ่ของล้านนาในอดีต ที่สื่อความหมายและจุดประสงค์เพื่อสร้างความแข็งแกร่งของกระบวนการทางสังคม ผสมกับการกระทำที่เป็นศิริมงคลแก่ผู้อื่นและตนเอง ให้กำลังใจแก่ตนเองที่จะต่อสู้กับชีวิตในปีต่อไปนับเป็นอุดมการณ์ที่ยิ่ง ใหญ่ และแน่นอนที่สุดคือแตกต่างจากจุดประสงค์ของงาน เย็นทั่วหล้า มหาสงกรานต์ อารยธรรมล้านนา และ 5 ประเทศที่กำลัง เกิดขึ้นอยู่ในขณะนี้อย่างสิ้นเชิง
ก่อนจบบทความฉบับนี้จึงขอยกตัวอย่าง " คำพร "( อ่านว่ากำปอน ) ของอาจารย์สิงฆะ
วรรณสัยซึ่งเขียนไว้ เมื่อ 30 ปีที่ผ่านมาเป็นฉบับย่อ เพื่อให้ผู้ที่สนใจได้ศึกษาถึงความหมายของมัน จะได้เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของประเพณีดำหัวของล้านนาไทย
ดีแล อัชชะในวันนี้ก็เป็นวันดี ศรีสุภมังคละอันประเสริฐ ล้ำเลิศยิ่งกว่าวันและยามดังหลาย บัดนี้หมายมี …. เป็นเค้า มาเลงหันสังขานต์ …. ปีเก่าล่วงไปพลัน เถิงวันพญาวันปีใหม่ จุจอดไคว่เถิงมา เป็นกาละเวลาเล่นม่วน ล่นเล้าร่วนเทียวกองตามทำนองปางก่อน ได้สืบสอนคำหอม หื้อน้ำขมิ้นส้มป่อยข้าวตอก ตั้งดอกไม้ธูปเทียนงาม โภชนาหารหลามหลากพร้อม ลางพร่องก็หาบเปียดพร้อมบุงกาน มโนหวานใจใฝ่ เตียวตางไต่ตามกัน พ่อแม่ไผมันไปไคว่ ดังผู้ใหญ่และผู้สูง ปู่ป้าอาว์ผู้เฒ่า พากันไต่เต้าไปหาครูบาอาจริยะ บ่เลยเลิกละปาเวณี ยามเมื่อถึงเดือนชีปีใหม่ มีมโนใฝ่ใจสุนทร์ หมายมุ่งบุญบ่หื้อเคียด เกิดส้มเสียดโกธา แต่งสรีระกายานุ่งหย้อง เหน็บดอกช้องใส่เตมหัว ประดับเนื้อตัวหื้อใหม่ เสื้อผ้าใส่จันทร์มัน อู้เล่นกันเหยาะหยอก ตักน้ำถอกหดกันดี ตั้งสาวจี๋และบ่าวหนุ่ม เปียะน้ำชุ่มตึงตัว ฝูงสาวใคร่หัวเหิดเล่น ฝูงบ่าวตื่นเต้นกำ
กันบวย เทียวตามทวยทางไต่ ประเพณีปีใหม่ถึงต้นหดน้ำกันตามสุภาพ หลั่งหลดอาบตามสังขานต์ คำจำหวานอู้อ่อย ปันพรย่อยแก่กัน สนุกเนืองนันตามจารีต เป็นปราณีตบ่เหยหาย
บัดนี้เจ้าตั้งหลายทุก ถ้วนหน้า มาเลงเห็นผู้ข้ามีแก่น เป็นผู้นำ ทำดีมีศีลอยู่บ่ขาด ในศักราชปีเก่าว่าไป แม้นมีกายใจวาปรามาส ได้ล่วงล้ำพลาดเวลา ได้เทียวไปมากราบย่ำ ยามเฮาอยู่ที่ต่ำเทียวกายหัว บ่ได้น้อมนอบตัวก้มหน้า ได้เอิ้นทักกลางท่ากลางทาง เกิกทางขวางเทียวไต่ บ่จงใจใฝ่ปองหันมาสางเทื่อฟังเตียวล่นล้นย่ำเทียวแป้นเฮือนดัง ว่าบ่ฟังเหลือกำ เอิ้นคำด่าข้ามไปมา ยามเมื่อมีโกรธากริ้วโกรธ กลัวเป็นโทษบาปกรรมแปดใจดำด่างพร้อย มาขอลดโทษปล่อยขมา บัดนี้มาเถิงปีใหม่แล้ว เป็นปีใหม่แก้วพญาวัน มาขอปลงปันอนุญาต ที่ได้ปรามาส ด้วยกายวาจาใจ ก็มีมโนมัยใจผ่อง ลดโทษคู่อัน บ่หื้อมีแก่กันพึงสองฝ่าย หื้อขอค้ายจากลาหนี หื้อสูเจ้าจำเริญดีปายหน้า อายุยืนยิ่งกวาร้อยชาว วรรณะเปิงปาวขาวผ่องเป็นที่ถูกต้องใจคน เปนหน้าไปตังใดไกลใกล้ หื้อเป็นที่รักใคร่คนหุม อันธพาลจุมหมู่ร้าย หื้อได้หลีกค้ายหนีไกล หื้อมีความสุข กายใจอย่าขาด โรคร้ายนิราศคลาดคลาไป สมดังมโนมัยใฝ่อ้าง มีแรงยิ่งกว่าช้างพังพลาย เป็นที่คนทังหลายรักชอบ แม้นประกอบการงานใด หื้อสัมฤทธิ์ดังใจใฝ่อ้าง มีใจกว้างสันปัตติ กองสมดังมโนผองอ้างใฝ่ ที่คิดไว้จุอัน สมกำบาลีว่า
สัพพีติโย วิวัชชันตุ ฯลฯ อายุวัณโณสุขังพลัง
 .

กว๊านพะเยาจังหวัดพะเยา


ท่องเที่ยวทั่วไทย
กว๊านพะเยา  กว๊าน หมายถึง หนองน้ำหรือบึงน้ำขนาดใหญ่ คำนี้มีใช้ในท้องถิ่นล้านนาเฉพาะที่จังหวัดพะเยาแห่งเดียวเท่านั้นกว๊านพะเยา เป็นบึงน้ำขนาดใหญ่ รูปพระจันทร์เสี้ยวเกือบครึ่งวงกลม แหว่งทางด้านตะวันออกเฉียงเหนือ ที่เกิดจากการยุบตัวของเปลือกโลกเมื่อประมาณ ๗๐ ล้านปีมาแล้ว โอบล้อมดอยแม่ใจซึ่งเป็นภูเขาสูงยาว  เป็นแอ่งน้ำที่รวบรวมของลำห้วยต่างๆ ๑๘ สาย ต่อมาในปี ๒๔๗๘ กรมประมงได้ตั้งสถานีประมงน้ำจืดจังหวัดพะเยาขึ้นบริเวณต้นแม่น้ำอิงและสร้างฝายกั้นน้ำทำให้เกิดเป็นบึงขนาดใหญ่ มีความลึกเฉลี่ย ๑.๕ เมตร กว๊านพะเยาเป็นแหล่งน้ำที่สำคัญที่สุดของจังหวัดพะเยา  เป็นทั้งแหล่งประมงน้ำจืดที่สำคัญที่สุดของภาคเหนือตอนบน  และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวของจังหวัดพะเยา มีเนื้อที่ประมาณ ๑๒,๘๓๑ ไร่   เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ปลาชนิดต่างๆ เช่น ปลากราย ปลาสวาย ปลาเทโพ ปลาจีน ปลาไน รวมทั้งปลานิล อันลือชื่อของจังหวัดพะเยา   ทัศนียภาพโดยรอบกว๊านพะเยา  มีความร่มรื่น  สามารถมองเห็นแนวทิวเขาสลับซับซ้อน งดงามมาก บริเวณริมกว๊านมีร้านอาหารและจัดเป็นสวนสาธารณะเหมาะที่จะไปนั่งเล่น พักผ่อนหย่อนใจในยามเย็น ชมพระอาทิตย์ตกริมกว๊านเป็นภาพที่สวยงามมาก และมีบริการนั่งเรือพายชมทัศนียภาพในกว๊านพะเยา ค่าโดยสารเรือพายคนละ 20 บาท และมีการจัดกิจกรรมเวียนเทียนทางน้ำรอบวัดติโลกอารามกลางกว๊านพะเยา ซึ่งประดิษฐานหลวงพ่อศิลา อายุกว่า 500 ปี ในวันสำคัญทางพุทธศาสนา เช่น วันมาฆบูชา และวันอาสาฬหบูชาอีกด้วย